One Litre of Tears ... น้ำตาหนึ่งลิตร
วันนี้อยู่บ้าน ก็เลยนั่งดูหนังอ่ะ เรื่อง one litre of tears จะพูดว่าหนังก็คงไม่ถูก จริงๆมันเป็นละครซีรี่ย์ของญี่ปุ่นอ่ะ แต่เวอร์ชันที่เราดูเป็นแบบตัดต่อเพื่อที่จะ write ลงแผ่น DVD หนึ่งแผ่นได้พอดี ความรู้สึกที่ได้จากการดูเรืองนี้คือ บีบหัวใจมาก ร้องไห้แทบทั้งเรื่องอ่ะ กะ หัวใจพองโต เพราะมีหลายๆฉาก หลายๆคำพูดที่มันซึ้งกันใจนะ กว่าจะดูจบได้ก็แย่เหมือนกัน ต้อง pause ไว้ก่อน แล้วกลับมาดูอีกทีจนจบ ก็สมกะชื่อเรื่องนะ ดูเรื่องนี้แล้วน้ำตาไหลเป็นลิตรเลยมั้งเนี่ย ขนาดดูจากแผ่นตัดต่อก็แทบแย่ ถ้าได้ดูแบบเต็มๆ 11 แผ่นเราคงแย่แน่เลย
ตัวอย่างหนัง
MV
MV
เห็นว่าตอนนี้จะมีสร้างภาคสองออกมาด้วย จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
ข้อมูลเพิ่มเติมเกียวกับหนังเรื่องนี้
ที่มา : http://pugchato.wordpress.com/2007/02/10/1-litre-of-tears/
“กว่าที่ฉันจะยิ้มได้อย่างนี้ ฉันเสียน้ำตามาไม่น้อยกว่า 1 ลิตร”
เป็นประโยคที่มาของชื่อ series จากญี่ปุ่น “1 litre of tears” ที่ไม่ทราบเหมือนกันว่าเข้าฉายตามฟรีทีวีเมืองไทยหรือไม่ ส่วนผมหาโหลดจาก bit เอา
1 litre of tears เป็นละครที่ดันแปลงมาจากหนังสือขายดีในชื่อเดียวกัน โดยขายในญี่ปุ่นได้ถึง 1.8 ล้านเล่ม หนังสือเล่มนี้เป็นไดอารี่ ที่บันทึกโดย อายะ เด็กสาวที่ป่วยเป็นโรค Spinocerebellar degeneration หรือ โรคสมองส่วนควบคุมการเคลื่อนไหวเสื่อม ซึี่งจะทำให้ร่างกายค่อยๆสูญเสียการควบคุมไปทีละอย่าง โดยสมองส่วนรับรู้ยังทำงานได้ปกติ นั่นก็คือร่างกายจะค่อยๆเป็นอัมพาต แต่สมองก็รับรู้ได้ปกติตลอด เป็นโรคที่สุดแสนจะทรมานมาก อายะได้เขียนไดอารี่ของเธอตั้งแต่อายุ 14 ปี ตั้งแต่ยังวิ่งเล่นได้ปกติ จนกระทั่งไม่สามารถที่จะจับปากกาเขียนได้อีกต่อไป…
ละคร One litre of tears ไ้ด้นำประวัติชีวิตของอายะ ทั้งจากหนังสือ One litre of tears และจากหนังสือเกี่ยวกับอายะ ที่แม่ของเธอเขียนขึ้นมา มาดัดแปลงเป็นบทละครที่สร้างความซาบซึ้งให้กับคนที่ได้ดูทุกคน…
ตอนแรกที่จะเริ่มดูละครเรื่องนี้ คิดไว้ว่าคงเป็นละครที่ค่อนข้างหดหู่ เพราะแค่อ่านเรื่องย่อ ก็อยากร้องไห้แล้ว แถมชื่อเรื่อง ก็ชวนให้น้ำตาตกอีก แต่เมื่อได้ดูจริงๆต้องยอมรับว่าผิดคาด ละครเรืิ่องนี้ไม่ได้หดหู่อย่างที่คิด ออกจะสดใสเสียด้วยซ้ำ
อายะในเรื่อง สวยมาก เปล่งประกายทุกฉากที่เธอแสดง และก็พยายามสวมบทบาทเป็นผู้ป่วยได้ยอดเยี่ยม
ชอบครอบครัวของอายะเช่นกัน แม่ พ่อ อักโกะ ฮิโรกิ และริกะ
ฉากที่ชอบที่สุดในละคร คือฉากที่ อักโกะด่าฮิโรกิที่อายที่มีอายะเป็นพี่
ตอนที่ผมดูละครเรื่องนี้ผมดูที่เดียว 11 แผ่นรวดเลย ดังนั้นเลยซึมซับอารมณ์ได้เต็มที่จริงๆ ยอมรับว่ารู้สึกใจหายเหมือนกัน จากเด็กผู้หญิงที่วิ่งไปวิ่งมา อย่างสดใสในตอนแรก กลับกลายเป็นเดินไม่ได้ พูดแทบไม่ได้ในแผ่นสุดท้าย แต่อายะก็ไม่เคยถอย ดูแล้วมีกำลังใจชีวิตขึ้นอีกเยอะ
ขอนำประโยคเด็ดๆ จากหนังสือ 1 litre of tears ที่บันทึกโดยตัวของอายะเอง
และนำมาใช้ปิดละครในแต่ละตอน มาให้ได้อ่านกัน
“ชีวิตของฉันก็เปรียบเหมือนดอกไม้ที่ยังตูมอยู่ ช่วงเริ่มต้นวัยรุ่นของฉัน อยากใช้ชีวิตอย่างที่ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง”
ตอนที่ 2 อายุ 15 ปี โรคปิศาจที่แฝงมา
“แม่คะ ในใจของหนูมีคุณแม่ที่คอยเชื่อในตัวหนูอยู่ตลอด หลังจากนี้ก็ขอฝากตัวเ้วยนะคะ ขอโทษที่ทำให้ลำบากอยู่เสมอ”
ตอนที่ 3 โรคนี้…ทำไมถึงเลือกฉันนะ?
“โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ ถึงจะบอกว่าก็เพราะโชคชะตา แต่ก็ยังทำใจให้ยอมรับไม่ได้”
ตอนที่ 4 ความโดดเดี่ยวของสองคน
“ฉันอยากสร้างเครื่องย้อนเวลาและกลับไปในอดีต ถ้าไม่ได้เป็นโรคนี้ก็คงจะมีความรักได้ อยากจะคุกเข่าขอร้องให้ใครสักคนมาช่วย ฉันจะทนต่อ…ไม่ไหวแล้ว”
ตอนที่ 5 หนังสือประจำตัวคนพิการ
“จะไม่พูดว่าอยากกลับไปวันนั้นอีกแล้ว จะยอมรับตัวเองตอนนี้และมีชีวิตอยู่ต่อไป”
ตอนที่ 6 สายตาที่เย็นชา
“บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกสายตาที่เย็นชาทำร้าย แต่ก็ได้รู้ว่ายังมีสายตาที่อ่อนโยนอยู่ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่หนีเด็ดขาด ถ้าเป็นอย่างนั้น สักวันหนึ่งก็คง…”
ตอนที่ 7 ที่อยู่ของฉัน
“ถึงแม้ว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ฉันก็ยังอยากอยู่ที่นี่ เพราะนี่คือที่ที่ฉันอยู่”
ตอนที่ 8 1 litre of tears
“ถึงจะล้มกี่ครั้งก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ลุกขึ้นใหม่ได้ ถ้าล้มแล้วมองไปบนท้องฟ้าที่สดใส ฟ้าก็ยังคงกว้างอย่างหาที่สุดมิได้เหมือนเดิม และยังคงยิ้มให้กับเราเสมอ…ฉันยังมีชีวิตอยู่”
ตอนที่ 9 ชีวิตในตอนนี้
“คงไม่ใช้ใช้ชีวิตในอดีต แต่ต้องใช้ชีวิตในตอนนี้เท่าที่จะทำได้ก็พอ”
ตอนที่ 10 Love Letter
“ความเป็นจริงช่างโหดร้ายเหลือเกิน แม้แต่จะฝันก็ยังทำไม่ได้ และเมื่อคิดถึงอนาคต น้ำตาก็จะไหลออกมาอีก”
ตอนสุดท้าย ไปแสนไกล สู่ที่น้ำตาเลือนหาย
“มีชีวิตอยู่ต่อไปนะ”
ส่งท้ายกันด้วย คำไว้อาลัยให้กับอายะจากคุณแม่ของอายะครับ
“…แต่ว่านะอายะ เป็นเพราะหนูทำให้
มีคนคิดเรื่องมีชีวิตอยู่ได้หลายคน
มีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตอยู่แบบธรรมดาทุกวัน
และได้รู้สึกถึงความอบอุ่น
ได้รู้ถึงความมีน้ำใจของคนที่อยู่ใกล้ตัวเอง
คนที่เป็นโรคเดียวกันแล้วทรมาน
ก็ได้รู้ว่าไม่ใช่มีแต่ตัวเองคนเดียวเท่านั้น
ที่หนูเสียน้ำตาไปมากมายนั้น
และคำพูดของหนูที่เกิดจากสิ่งนั้น
ได้ส่งไปถึงใจของคนหลายๆคน
อายะ…
อยู่ที่โน่น ไม่ได้ร้องไห้แล้วนะ
แม่น่ะ อยากเห็นลูกตอนที่ยิ้มอีกครั้ง…”
ที่มา : http://forums.popcornfor2.com/index.php?showtopic=6773
Ichi Ritoru no Namida - 1リットルの涙
1 liter tears/A Diary with Tears
Airs: 11/10/2005 - 20/12/2005
TV Station: Fuji TV
Duration: 11 Episodes
Official Website: http://wwwz.fujitv.co.jp/tears
เรื่อง ราวที่สร้างจากชีวิตจริงของ อายะ เด็กสาวอายุ 15 ปี ที่ป่วยเป็นโรค Spinocerebellar Atrophy โรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ แต่เธอก็ไม่เคยท้อแท้กับชีวิตและจะมีชีวิตอยู่ต่อไป อายะได้เขียนไดอารี่ตามที่หมอสั่ง ไดอารี่เล่มนั้นได้ถูกตีพิมพ์ ถึงแม้ตอนนั้นอายะไม่สามารถจะทำอะไรได้ แต่ไดอารี่ของเธอ ก็ได้ช่วยให้กำลังใจให้กับคนที่ป่วยเป็นโรคเดียวกับอายะให้มีกำลังใจต่อสู้ กับโรคนี้
Ichi Ritoru no Namida ฉบับภาพยนตร์ คนที่เล่นเป็นนางเอกเรื่องนี้ มาเล่นในฉบับซีรีย์ด้วย
ไดอารี่ของอายะที่ถูกนำมาตีพิมพ์
ประโยคซึ้งใจใน *1 Litre of Tears*
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=dramacafe&date=05-12-2006&group=1&gblog=17
ประโยคซึ้งใจใน *1 Litre of Tears*
หลังจากที่ดูเรื่องนี้จบด้วยความซึ้งใจ
พร้อมกับน้ำตาที่หมดไปหลายลิตร...
พบว่ามีประโยคที่ซาบซึ้งใจอยู่หลายประโยค
เลยอยากรวบรวมและแปลมาให้ได้อ่านกันค่ะ
Impression phrases in each episode of
“1 Litre of Tears”
Eps#1
Aya
“หากเปรียบชีวิตฉันเช่นดอกไม้ที่กำลังรอวันเบ่งบาน
ฉันไม่อยากต้องเสียใจ
และจะให้ความสำคัญกับช่วงชีวิตวัยรุ่นที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น”
Haruto
“ไม่ว่าจะสัตว์ หรือต้นไม้ มันต่างก็รู้ว่ามีช่วงชีวิตของมันเอง
แต่มนุษย์นี่ซิ..กลับโลภมากและโหยหาการที่จะยืดเวลาชีวิตของตัวเอง...”
Eps#2
“แม่คะ...
แม่ที่คอยเชื่อใจหนู อยู่ในใจของหนูตลอด
ต่อจากนี้...ขอความกรุณาด้วยนะคะ...
ขอโทษนะคะที่ทำให้เป็นห่วงบ่อยๆ...”
Eps#3
“บางครั้ง...รู้สึกเหมือนว่าร่างกายของฉันมันไม่ใช่ของฉันยังไงก็ไม่รู้
ฉันจะเป็นยังไงต่อไปนะ....”
“ทำไม..โรคนี้ถึงเลือกฉันนะ...
ฉันรับไม่ได้หรอก กับคำว่า *โชคชะตา* ...”
Eps#4
“ทั้งๆที่ก็รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์เดิมๆ
กับถนนเดิมๆที่เคยผ่านเหมือนเมื่อวาน
แต่โลกของฉันมันกลับเปลี่ยนแปลงไป
ฉันคงหัวเราะไม่ได้เหมือนเดิม
ตัวฉันที่ผ่านมาจนถึงวันนี้
คงไม่มีอีกต่อไปแล้ว”
Eps#5
Aya มองขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยมี Haruto ยืนอยู่ข้างๆ
เมฆสีขาวที่ค่อยๆเคลื่อนตัวไปบนท้องฟ้าอันสดใส...
“ฉันจะไม่พูดว่า อยากกลับไปเป็นเหมือนวันเก่าๆอีก...
ฉันจะยอมรับในความเป็นตัวเองและใช้ชีวิตต่อไป”
Eps#6
“ฤดูหนาวค่อยๆย่างก้าวเข้ามาแล้ว
ฉันเองก็อยากจะวิ่งให้ร่างกายอบอุ่นบ้าง
ทว่า...ตอนนี้กลับเดินยากขึ้นกว่าเดิมทีละนิด
แต่ถึงแม้จะไม่สามารถวิ่งได้อย่างเต็มที่ก็ตาม...
และถึงแม้จะเดินได้เพียงช้าๆก็ตาม...
ฉันก็คิดว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ฉันทำได้...”
“ก็มีบ้างที่รู้สึกเจ็บกับสายตาที่ไร้ซึ่งหัวใจ
แต่ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ว่ายังคงมีสายตาที่ห่วงใยกันอยู่บ้างเหมือนกัน”
Eps#7
ย่างเข้าปีใหม่แล้ว
แต่ฉันกลับกลายเป็นต้องให้คนคอยช่วยเหลือมากกว่าเดิม
แต่ว่า ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนมานั่งรถเข็นก็ตาม
เพื่อนๆก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลย...
“เพื่อน” นี่ดีจัง...อยากอยู่กับเพื่อนๆตลอดไป....
ฉันชอบเสียงลูกบาสเวลาที่ดังก้องโรงยิม...
ชอบความเงียบที่กลับสู่ห้องเรียนอีกครั้งเวลาเลิกเรียน...
ชอบทิวทัศน์ที่มองออกมานอกหน้าต่าง...
ชอบเสียงเอี๊ยดอ๊าดบนพื้นทางเดินหน้าห้อง...
ชอบเสียงพูดคุยใน Homeroom ...ชอบทั้งหมด...
ฉันอาจจะสร้างความเดือดร้อนบ้าง
อาจจะไม่สามารถเป็นประโยชน์กับคนอื่นเท่าไหร่
ถึงกระนั้นฉันก็ยังอยากอยู่ที่นี่...
ก็เพราะว่า..ที่นี่เป็นที่ที่ฉันอยู่
Eps#8
“คิดว่าบางคนคงพอจะรู้แล้ว
ว่าโรคที่ฉันเป็นน่ะไม่สามารถหายได้
เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีทางรักษา
คุณหมอบอกว่าสักวัน ก็จะเริ่มเดินไม่ได้...ยืนไม่ได้ และพูดไม่ได้
ในช่วงเวลา 1 ปีมันค่อยๆทำไม่ได้ทีละอย่าง
ในความฝัน..ฉันเดินไปคุยไปกับเพื่อนๆไป..ฉันเล่นบาสเก็ตบอล
และทั้งๆที่วิ่งได้ดั่งใจคิด แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาบนความจริง
กลับพบกับร่างกายที่ขยับเขยื้อไม่ได้ดังที่คิด
ทุกๆวันของฉันมันเปลี่ยนไป
ฉันคิดว่าจะเดินยังไงไม่ให้ล้ม...ทำยังไงจะทานอาหารได้เร็วๆ
ทำยังไงไม่ให้เป็นที่สะดุดสายตาคนอื่น ฉันต้องอยู่อย่างค่อยๆคิดค่อยๆทำ
สิ่งที่วาดไว้ไม่ว่าจะการเรียนมัธยม..เข้ามหาวิทยาลัย..หรือไปทำงาน อนาคตที่วาดไว้ทั้งหมดเหลือเพียงแค่ศูนย์
ฉันมองไม่เห็นหนทางที่จะเดินต่อไป ...แสงสว่างแห่งความหวังกลับเลือนลาง
บ่อยครั้งที่ฉันคิดว่าเป็นเพราะโรคร้ายนี้ทำให้ชีวิตฉันต้องพังลง......
แต่ว่า..แต่ว่า ถึงจะเศร้าแค่ไหนแต่มันก็เป็นเรื่องจริง
ไม่ว่าจะร้องไห้แค่ไหน มันก็ไม่สามารถหนีไปจากโรคนี้ได้
ไม่ว่าอยากจะย้อนอดีตแค่ไหน ก็ไม่สามารถเอาเวลานั้นกลับคืนมาได้
เพราะฉะนั้น ฉันจึงคิดว่าจะต้องรักตัวเองในแบบที่เป็นตอนนี้ให้ได้
ก็พอร่างกายเป็นแบบนี้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
เช่นความรู้สึกซาบซึ้งที่มีครอบครัวคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ
มือของเพื่อนๆที่คอยช่วยเหลือนั้นช่างอบอุ่นเหลือเกิน
การมีสุขภาพที่ดีนั้นช่างเป็นเรื่องน่ายินดีแค่ไหน
และรู้ว่าการเจ็บป่วยก็ไม่ได้นำมาซึ่งความสูญเสียแต่เพียงอย่างเดียว
และไม่เพียงแต่ร่างกายของฉัน แม้แต่ฉันเองก็แบกรับคำว่า “อุปสรรค”เอาไว้
แต่มันก็คือตัวฉัน
ฉันคิดว่าอยากจะยืดอกและใช้ชีวิตต่อไป
เพราะฉะนั้น ฉันจึงตัดสินใจเองที่จะย้ายไปเรียนที่โรงเรียนคนพิการ
ถึงแม้ฉันจะต้องใช้ชีวิตอยู่ต่างที่จากพวกเธอ
แต่ว่าฉันจะแสวงหาแสงสว่างเพื่อค่อยๆเดินไปตามทางที่ฉันเป็นคนเลือกเอง
และกว่าจะถึงวันที่ฉันสามารถยิ้มรับและพูดออกมาได้
ก็เสีย “น้ำตาหนึ่งลิตร” เป็นอย่างน้อย...
แต่ถึงแม้ว่าฉันจะต้องจากโรงเรียนนี้ไป
ฉันจะไม่คิดเด็ดขาดว่านี่คือจุดจบ...
ฉันขอบคุณทุกคนมากที่ดีกับฉันมาตลอด ขอบคุณจริงๆ”
Eps#9
Haruto : งั้นให้ฉันพูดความรู้สึกของฉันได้มั๊ย...
ฉันม่รู้หรอกนะว่าอนาคตจะเป็นยังไง แต่ว่าถ้าพูดถึงความรู้สึกในตอนนี้ล่ะก็
ฉันรับรองได้ 100% ว่าไม่โกหกแน่ ฉันมั่นใจที่จะพูดออกมา
ฉันน่ะ...หากเธอต้องการจะพูดแล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะช้าแค่ไหนฉันก็จะรอฟัง
หากแม้ไม่สามารถพูดทางโทรศัพท์ได้..ฉันก็จะมาหาเธอที่นี่ด้วยตัวเองแบบนี้
ฉันไม่ใช่ปลาโลมา เธอเองก็ไม่ใช่ (ที่จะได้ยินกันแม้จะอยู่ไกล)
หากเธอจะเดิน..ไม่ว่าจะช้าแค่ไหน ฉันก็จะเดินไปพร้อมๆกับเธอ
ถึงแม้ง่าตอนนี้ฉันอาจจะไม่สามารถให้เธอพึ่งพาได้
แต่สักวัน ฉันอยากจะเป็นคนที่มีความหมายสำหรับเธอบ้าง
ไม่จำเป็นต้องเหมือนเมื่อก่อน...เพราะเราสามารถเชื่อมถึงกันได้ด้วยความรู้สึก
ฉันไม่ได้คิดว่าเราอยู่กันคนละโลก
ฉัน...คงจะ...ชอบเธอ...ล่ะมั๊ง...
บางที...คงเป็นเพราะชอบเธอล่ะมั๊ง....
Aya ตอบพลางน้ำตาร่วงด้วยความดีใจ : ขอบคุณนะ....
Eps#9
“หยุดก้าวเดิน แล้วใช้ชีวิตต่อไป...
ถึงแม้ว่าวันนึงจะไม่เหลืออะไร
ความฝันที่ต้องตัดใจไป ก็มอบให้ใครสักคนต่อก็ได้นี่นา...
คนเราน่ะ..อย่ายึดติดกับชีวิตที่ผิดพลั้งในอดีต
แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอ”
Eps#10
“ถึง Aso Kun
หากต้องอยู่ตรงหน้า ฉันคงไม่สามารถพูดได้ทั้งหมดจึงได้เขียนจดหมายแทน
ขอบคุณนะ ที่คอยอยู่เคียงข้างฉันมาตลอด
และขอบคุณที่คอยเป็นกำลังใจให้ฉันมาตลอด
ฉันรูสึกดีใจมาก ที่ได้เห็นเธอค้นพบความฝันของตัวเอง
และเห็นเธอส่องสว่างสดใส
ได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมาย ได้พบคนหลากหลาย
เธอจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อจากนี้ไปอีกนานเท่านาน
อนาคตของเธอมันไม่มีที่สิ้นสุด
ทว่า สำหรับฉันมันไม่ใช่
อนาคตที่เหลือไว้สำหรับฉัน...
คือต้องทำอะไรก็ได้เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป
เพียงเท่านั้นเอง
ความแตกต่างตรงนี้มันช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
ฉันต่อสู้กับตัวเองทุกๆวัน
ทั้งกังวล และทรมาน
และเพียงแค่ต้องเก็บความรู้สึกเหล่านั้นเอาไว้ ก็เกินกำลังแล้ว...
ฉันบอกตามตรงว่า
เวลาอยู่กับ Aso Kun ฉันทรมาน
เพราะฉันจะอยากทำโน่น และอยากทำนี่
และอดคิดไม่ได้ว่าหากเพียงฉันแข็งแรงฉันคงทำได้ไปแล้ว
เวลาอยู่กับ Aso Kun ฉันอดวาดฝันที่ไม่มีวันเป็นจริงไม่ได้
แน่นอน นี่ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก
แต่ว่า มันอดอิจฉา และอดเสียใจไม่ได้
มันช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกสมเพชตัวเองขึ้นมา
หากเป็นเช่นนั้นฉันคงไม่สามารถเงยหน้าสู้ชีวิตต่อไปได้อีกแน่
ขอบคุณนะ สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
ขอบคุณนะที่บอกว่าชอบฉัน ทั้งๆที่ฉันเป็นแบบนี้
และขอโทษนะที่ฉันไม่สามารถตอบแทนอะไรเธอได้เลย
ฉัน...คงพบเธอไม่ได้อีกแล้ว”
Eps#11
“แม่ไม่ได้มีโอกาสเจอลูกมาเป็นเวลา 1 ปีแล้ว....
อายะ..ลูกเดินอยู่รึเปล่า...ลูกทานข้าวได้รึเปล่า...
ลูก หัวเราะเสียงดังได้ไหม และพูดคุยได้รึเปล่า...ถึงแม้ว่าแม่จะไม่ได้อยู่ข้างๆลูก ลูกสามารถยืนหยัดอยู่ได้ใช่มั๊ยจ๊ะ...แม่เอง...เพียงแค่...เป็นห่วงลูกมากจน ไม่เป็นอันทำอะไร
ลูกเคยถามแม่ว่า... “ทำไมโรคร้ายถึงเลือกหนู”... “หนูมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร”....
ลูก ทรมาน ทรมานจนร้องไห้และสงสัยว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่...แม่เองก็คิดมาจนถึง ทุกวันนี้...และยังใช้ชีวิตอยู่อย่างหาคำตอบไม่ได้...
แต่ว่า Aya จ๊ะ...
เป็นเพราะลูกทำให้ใครหลายคนได้ระลึกถึงการมีชีวิตอยู่
และ ทำให้พวกเขาคิดได้ว่าการใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆวันนั้นมันช่างมีความสุข และมันช่างเป็นความอบอุ่นซะเหลือเกิน และรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจของคนที่อยู่ข้างๆ
และคนที่ทรมานเพราะโรคนี้ ก็คิดได้ว่าเข้าใจว่าแท้ที่จริงเขาไม่ใช่ตัวคนเดียวในโลกนี้เลย
หยาดน้ำตาที่ลูกเสียไปมากมาย กลายเป็นคำพูดที่สามารถสื่อถึงใจหลายๆคนทีเดียว
Aya จ๊ะ...หวังว่าอยู่ที่นั่นลูกคงไม่ร้องไห้แล้วนะ
แม่อยากจะเห็นรอยยิ้มของลูกอีกสักครั้งจัง...”
เนื้อเรื่อย่อ
ที่มา : http://www.mono2u.com/review/content/one_litre_of_tear/
ละครเรื่อง 1 Litre of Tears สร้างขึ้นมาจาก ไดอารี่ 1 Litre of Tears ที่ คิโตะ อายะ เด็กผู้หญิงที่ต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอดได้บันทึกไว้ เป็นหนังสือที่เอาไดอารี่ของเธอทั้ง 46 เล่มมาสรุปและพิมพ์จำหน่ายในชื่อ 1 Litre of Tears ที่ทำให้ทุกคนประทับใจและจำหน่ายได้ถึง 1.2 ล้านเล่ม และหลังจากที่ละครเรื่องนี้ฉายเป็นละครแล้ว ยอดจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นถึง 1.8 ล้านเล่ม ตอนสิ้นปี 2548 และไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ยังได้สรุปบันทึกที่ คิโตะ ชิโอกะ แม่ของอายะ เขียนเอาไว้ในเรื่อง "อุปสรรคของชีวิต" รวมอยู่ในไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ด้วย และวันที่ 23 พฤษภาคม 1988 อายะทิ้งความประทับใจเอาไว้ในโลกนี้ และเดินทางสู่สรวงสรรค์ รวมอายุได้ 25 ปี ละครเรื่อง 1 Litre of Tears นี้ เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้ โดยในละครเรื่องนี้ ได้แทนนามสกุลจริง คิโตะ เป็น นามสกุล อิเคอูจิ
" ฉันมีชีวิตต่อเพื่ออะไรกันนะ " นี่คือ ประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่ม ที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเขียนไว้ตลอดระเวลาที่ต่อสู้กับโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษานี้ คิโต อายะ เกิดปี 1962 เป็นโรคที่ชื่อว่า Spinocerebellar Degeneration ซึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ในตอนอายุ 14 ปี เป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้ จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆเสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ซึ่งไดอารี่ทั้ง 46 เล่มนี้ ก็คือบันทึกการต่อสู้กับโรคตั้งแต่เริ่มมีอาการ จนถึงตอนที่อายะไม่สามารถ ควบคุมแขนของตัวเองให้เขียนได้ เสมือนเป็นเสียงตะโกนที่ร้องขอการมีชีวิตอยู่ต่อ จากส่วนลึกของหัวใจเธอ
" โรคนี้ทำไมถึงเลือกฉันนะ " นี่คืออีก ประโยคหนึ่งจาก ไดอารี่ 46 เล่ม ที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ทั้งๆที่เป็นโรคที่รักษาไม่หาย แต่ก็ยังพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับโรคร้ายนั้น ทุกๆวันที่ถูกรายล้อมไปด้วย ความรักทั้งของครอบครัว และคนรัก และเพื่อนๆ ที่คอยช่วยเหลือ ร้องไห้และหัวเราะด้วยกัน อยากใช้ชีวิตกันต่อไป เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้
" ร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร " เป็นอีก คำพูดหนึ่งที่ คิโตะ อายะ ได้พูดกับเพื่อนร่วมชั้นมัธยมปลาย ตอนที่จะลาออกจากโรงเรียนไปอยู่ที่โรงเรียนคนพิการ เนื่องจากไม่อยากทำให้เพื่อนทุกคน ในห้องต้องลำบากใจ เพราะเพื่อนๆในห้องส่วนใหญ่กลัวจะเรียนไม่ทัน จะสอบต่อมหาวิทยาลัยไม่ได้ เพราะอาจารย์ต้องสอนช้าลง เพื่อให้ อายะ สามารถจดตามได้ทัน เนื่องจากเมื่ออายะ เป็นโรคนี้แล้ว ช่วงแรกก็ยังพอเดินได้ปกติ แต่หลังจากนั้นก็เดินได้ยากขึ้น จนในที่สุดเวลาจะเดินต้องนั่งรถเข็น และเวลาเขียนก็ไม่สามารถเขียนได้เร็วเท่าคนปกติ โดยที่จริงๆแล้ว อายะ ไม่อยากจะไปที่โรงเรียนคนพิการ แต่อยากจะอยู่ที่โรงเรียนกับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่อยากให้เพื่อนต้องลำบากเพราะตนเอง จึงได้ตัดสินใจลาออก โดยที่เธอได้บอกกับเพื่อนๆว่า กว่าเธอจะตัดสินลาออกได้ ต้องนอนร้องไห้เสียน้ำตาไปหนึ่งลิตร
โรค Spinocerebellar Degeneration คือ โรคที่ยังไม่สามารถรักษาได้ อาการของโรคจะทำให้สมองส่วนการรับรู้ จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆเสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่าง ผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้แต่ละคนจะแตกต่างกันไป บางคนเมื่อเริ่มเป็นโรคนี้อาการจะค่อยๆเป็นหนักขึ้นอย่างช้าๆ แต่สำหรับบางคนอาการของโรคทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว โดยเริ่มทำให้ ขาเดินได้ลำบาก จนต่อมาจะเดินไม่ได้ แขนและมือที่เคยจับเขียนได้ ก็จะค่อยๆจับและเขียนลำบาก จนสุดท้ายก็จะเขียนไม่ได้ การรับประทานอาหารก็จะลำบากขึ้นและจะสำลักบ่อยครั้ง บางคนอาจถึงตายได้เนื่องจากอาหารติดคอ ผู้ป่วยจะต้องมีคนดูแลอย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ เพราะยิ่งอาการหนักขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้เองมากขึ้นเท่านั้น เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร และยังไม่สามารถรักษาจนถึงปัจจุบัน ทำได้เพียงพยายามชลอให้อาการทรุดหนักช้าลง เท่านั้น
>>> แนะนำตัวละคร
อิเคอุจิ อายะ (คิโตะ อายะ) นำแสดงโดย เอริกะ ซาวาจิริ
อิเคอุจิ อายะ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ประสบกับโรคที่ชื่อว่า Spinocerebellar Degeneration เป็นโรคที่รักษาได้ยาก อาการของโรคจะทำให้สมองส่วน การรับรู้ จะยังทำงานเป็นปกติ แต่จะค่อยๆเสื่อมลง และควบคุมร่างกายไม่ได้ไปทีละอย่างที่ได้พยายาม ต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอด แรกเริ่มเธอก็เป็นเด็กสาวที่มีสุขภาพแข็งแรง ร่าเริง สดใส และเป็นสมาชิกในชมรมบาสเกตบอลอีกด้วย แต่ต่อมาอาการก็เริ่มผิดปกติเมื่อจู่เธอเดินและหกล้มหลายครั้ง จนเมื่อค้นพบว่าตนเองป่วยเป็นโรคร้าย เธอจะเริ่มไม่สามารถเดินทรงตัวได้ดี และเขียนหนังสือลำบากขึ้น แพทย์ประจำตัวของเธอจึง ให้เธอเขียนหนังสือทุกๆ วัน เธอจึงเริ่มเขียนไดอารี่ตั้งแต่วันที่รับรู้ว่าตัวเองเป็นโรคร้าย อายะไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองเกิดมาและต้องประสบกับโรคร้ายนี้ มันเป็นการยากที่เธอจะทำใจได้ และกว่าที่เธอจะสามารถพูดคุยกับคนรอบข้างได้อย่างสุขใจนั้น เธอต้องร้องไห้เสียน้ำตาอย่างมากมาย เพื่อทำให้คนรอบข้างเห็นว่าเธอยังแข็งแรงและดูมีความสุข ถึงแม้ว่าเธอจะป่วยหนัก แต่เธอยังมีเพื่อนสนิทและสมาชิกในครอบครัวคอยให้กำลังใจและดูแลเธออยู่เคียง ข้างตลอดเวลา อายะ เขียนไดอารี่ระบายสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจ โดยบางข้อความผู้ที่ได้อ่านพบก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดในบางครั้ง และบางข้อความก็ให้กำลังใจกับตนเองและผู้อ่านจนกระทั่ง ไดอารี่ของเธอได้ถุกนำไปตีพิมพ์ประกอบในหนังสือ 1 Litre of Tears
อะโซ ฮารูโตะ นำแสดงโดย นิชิโนะ เรียว
อะโซ ฮารุโตะ เพื่อนนักเรียนห้องเดียวกันกับ อิเคอุจิ อายะ เขาเป็นคนที่ไม่สนใจในชีวิตหลังจากที่พี่ชายแท้เสียชีวิตลง ทำให้เขาเป็นคนไม่ค่อยแคร์ใคร เขาเป็นลูกชายของเจ้าของโรงพยาบาล อย่างไรก็ตามเขาไม่อยากจะเรียนและดำเนินตามรอยพ่อผู้เป็นหมด จนกระทั่งเมื่อมีอาสได้พบและรู้จักกับ อายะ มิตรภาพระหว่างเขาและเธอที่มีต่อกันทำให้ต่างฝ่ายคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และเมื่อเขารู้ว่าอายะ เป็นโรคที่รักษาไม่หาย เขาก็ไม่ได้รังเกียจแต่กลับเป็นคนที่คอยให้กำลังใจอายะ และกลับมีความรู้สึกที่ดีจนเป็นคู่รักกันในที่สุด และพยายามศึกษาโรคที่อายะเป็น เขาหวังเพียงเสี้ยวหนึ่งว่าจะหาทางรักษาเธอให้ได้ จนในที่สุดเขาก็ตัดสินใจมุ่งมั่นเข้ามหาวิทยาลัยแพทย์ได้ เขาอยู่เคียงข้างอายะจนวาระสุดท้ายของเธอ
อิเคอุจิ ชิโอกะ นำแสดงโดย ยากูชิมารุ ฮิโรโกะ
อิเคอุจิ ชิโอกะ เป็นนักวิชาการสาธารณสุข เธอเป็นแม่ของ อิเคอุจิ อายะ ในตอนแรกที่ทราบว่าลูกตัวเองเป็นโรคนี้ เธอไม่เชื่อว่าลูกจะเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษา จึงขอไปตรวจของโรงพยาบาลไปให้หมอหลายต่อหลายที่ ช่วยหาทางรักษา แต่ก็ไม่สำเร็จ จนได้ทราบว่าลูกตนเป็นโรคนี้จริงๆ เธอคนที่รักลูกสาวมากๆ พยายามทุกวิถีทาง ทั้งให้ความรัก และให้กำลังใจ อายะ ในการต่อสู้กับโรคร้ายมาโดยตลอดอย่างไม่ยอมแพ้
อิเคอุจิ มิซึโอะ นำแสดงโดย จินนะอิ ทาคาโนะริ
อิเคอุจิ มิซึโอะ พ่อของ อิเคอุจิ อายะ ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวและเปิดกิจการครอบครัวเป็นร้านจำหน่ายเต้าหู้ เขาเป็นคนที่ขยันและรักครอบครัว เขาให้ความรักกับลูกๆทุกคน โดยเฉพาะกับ อายะ เพราะหลังจากที่เขาทราบว่าเธอเป็นโรคร้าย เขาจึงคอยดูแลและห่วงใยเธอเป็นพิเศษ และขยันทำงานยิ่งขึ้นเพื่อหาเงินมารักษาลูกสาวของเขา
มิซึโนะ ฮิโระชิ นำแสดงโดย นาโอะฮิโตะ ฟุจิกิ
มิซึโนะ ฮิโระชิ นายแพทย์ประจำตัวของ อิเคอุจิ อายะ ผู้เป็นคนดูแลตั้งแต่ อายะ ป่วยเป็นโรคที่รักษาไม่หาย เขาให้กำลังใจเธอให้ต่อสู้กับโรคร้ายนี้ และพยายามคิดค้นหาวิธีรักษาโรคร้ายให้หายจนได้ถึงแม้ว่าจะมีโอกาสรักษาให้ หายเพียงน้อยนิดก็ตาม แต่เขากลับได้แรงบันดาลใจจาก อายะ ที่เธอมุ่งมั่นและคอยดูแลตนเองอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจทำให้ร่างกายของเธอ แข็งแรงตลอด จนสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีก 10 ปี ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตลง
อิเคอุจิ อาโกะ นำแสดงโดย นารุมิ ริโกะ
อิเคอุจิ อาโกะ น้องสาวของ อายะ ช่วงแรกเธอเป็นคนที่รู้สึกเหมือนกับว่าได้รับความรักจากพ่อแม่น้อยกว่า อายะ เพราะคิดว่าพ่อแม่ลำเอียง จึงทำให้เธอไม่ชอบ อายะ แต่เมื่อรู้ว่าพี่สาวประสบกับโรคที่รักษาไม่หาย ทำให้เธอห่วงใยและคอยดูแลอายะเป็นอย่างดี อาโกะ ตั้งใจดำเนินรอยตามพี่สาวที่อยากเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมในฝันของอายะ และสามารถทำได้ในที่สุด เธอทำทุกอย่างเพื่ออายุ พี่สาวที่แสนใจดีและเป็นที่รักของเธอ
คิโตะ อายะ
คิโตะ อายะ ที่เป็นต้นแบบของตัวเอกของละครเรื่องนี้
เธอเป็นโรคร้ายแรงที่แอบแฝงตัวเข้ามาอย่างเงียบๆ และรุนแรง ได้เขียนไดอารี่ ตั้งแต่เริ่มต่อสู้กับโรคนี้ จนถึงตอนที่อายะไม่ สามารถ ควบคุมแขนของตัวเองให้เขียนได้ รวมไดอารี่ทั้งหมด 46 เล่ม เสมือนเป็นเสียงตะโกนที่ร้องขอการมีชีวิตอยู่ต่อ จากส่วนลึกของหัวใจเธอ
>>> ข้อมูลเพิ่มเติม
ชื่อภาษาอังกฤษ One Litre of Tears / A Diary with Tears
ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ Fuji-TV , ประเทศญี่ปุ่น
ออกอากาศ วันอังคารที่ 11 ตุลาคม 2548 ถึง วันอังคารที่ 20 ธันวาคม 2548
จำนวน 11 ตอน
เพลงหลัก Only Human ขับร้องโดย K
อัลบั้มประกอบละคร Ichi Rittoru no Namida OST
ผู้กำกับ Murakami Masanori
โปรดิวเซอร์ Kashikawa Satoko
ผู้เขียนบท Egashira Michiru , Ooshima Satomi , Yokota Rie
ดัดแปลงมาจากชิวิตจริงของ Kito Aya 's Diary
แนวซีรี่ส์ ชีวิต
จุดเด่น
ละครเรื่อง 1 Litre of Tears สร้างขึ้นมาจาก ไดอารี่ 1 Litre of Tears ที่คิโตะ อายะ เด็กผู้หญิงที่ต่อสู้กับโรคร้ายมาตลอดได้บันทึกไว้ เป็นหนังสือที่เอาไดอารี่ของเธอทั้ง 46 เล่มมาสรุปและพิมพ์จำหน่ายในชื่อ 1 Litre of Tears ที่ทำให้ทุกคนประทับใจและจำหน่ายได้ถึง 1.2 ล้านเล่ม และหลังจากที่ละครเรื่องนี้ฉายเป็นละครแล้ว ยอดจำหน่ายได้เพิ่มขึ้นถึง 1.8 ล้านเล่ม ตอนสิ้นปี 2548 และไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ยังได้สรุปบันทึกที่ คิโตะ ชิโอกะ แม่ของอายะ เขียนเอาไว้ในเรื่อง "อุปสรรคของชีวิต" รวมอยู่ในไดอารี่ 1 Litre of Tears นี้ด้วย และวันที่ 23 พฤษภาคม 1988 อายะทิ้งความประทับใจเอาไว้ในโลกนี้ และเดินทางสู่สรวงสรรค์ รวมอายุได้ 25 ปี ละครเรื่อง 1 Litre of Tears นี้ เป็นละครชีวิตที่ให้กำลังใจกับคนญี่ปุ่นสมัยนี้
>>> ภาพประกอบเพิ่มเติม
Comments